การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศนำเสนอผลงาน
1. หลักการนำเสนอผลงาน
ในหน่วยการเรียนรู้ก่อนๆ ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการใช้คอมพิวเตอร์ในการสร้างผลงานรูปแบบต่างๆมาบ้างแล้ว การสร้างผลงานที่ดีนั้นต้องอาศัยความรู้และทักษะตลอดจนความคิดสร้างสรรค์ แต่ที่สำคัญที่สุดคือการสะสมประสบการณ์จากการที่ได้พบเห็นตัวอย่างและการเรียนรู้จากตัวอย่างในหน่วยการเรียนรู้นี้ จะกล่าวถึงการนำเสนอผลงานโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปที่หาได้ทั่วไป การนำเสนอผลงานมีวัตถุประสงค์คือ
1. ให้ผู้ชมเข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอ
2. ให้ผู้ชมเกิดความประทับใจ ซึ่งจำนำไปสู่ความเชื่อถือในผลงานที่นำเสนอ
หลักการขั้นพื้นฐานของการนพเสนอผลงานมีจุดสำคัญคือ
1.1 การดึงดูดความสนใจ โดยการออกแบบให้สิ่งที่ปรากฏต่อสายตานั้นชวนมอง และมีความสบายตาสบายใจเมื่อมอง ดังนั้นการเลือกองค์ประกอบต่างๆ เช่น สีพื้น แบบ สี และขนาดของตัวอักษร รูปประกอบ ฯลฯ ต้องคำนึงถึงเรื่องนี้
1.2 ความชัดเจนและความกระชับของเนื้อหา ส่วนที่เป็นข้อความต้องสั้นแต่ได้ใจความชัดเจน ส่วนที่เป็นภพประกอบต้องมีส่วนสัมผัสอย่างสร้างสรรค์กับข้อความที่ต้องการสื่อความหมาย
1.3 ความเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย การสร้างจุดเน้นตามข้อ 1 และ 2 ข้างต้น ต้องคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายด้วย เช่น กลุ่มเป้าหมายเป็นเด็กการใช้สีสดๆและภาพการ์ตูนมีความเหมาะสม แต่ถ้ากลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ใหญ่และเนื้อหาที่นำเสนอเป็นเรื่องวิชาการหรือธุรกิจ การใช้สีสันมากเกินไปและใช้รูปการ์ตูน อาจจะทำให้กูไม่น่าเชื่อถือเพราะขนาดภาพลักษณ์ของการเอาจริงเอาจังไป
2. เครื่องมือที่ใช้ในการนำเสนอผลงาน
ก่อนยุคคอมพิวเตอร์
การนำเสนอผลงานในที่ประชุมสัมนามักจะใช้เครื่องมือสองอย่างคือ เครื่องฉายสไลด์ (Slide projector) และเครื่องฉายแผ่นใส (Overheard projector) การใช้งานเครื่องฉายสไลด์ค่อนข้างยุ่งยาก
เพราะต้องใช้กล้องถ่ายรูปใส่ฟิล์มพิเศษที่ล้างออกมาแล้วเป็นภาพสำหรัยฉายโดยเฉพาะ
และต้องนำฟิล์มนั้นมาตัดใส่กรอบพิเศษจะนำมาเข้าเครื่องฉายแผ่นใสเป็นเครื่องที่ใช้งานทั่วไปได้มากกว่าแผ่นใสที่ใช้ตามปกติมีขนาดประมาณ
8 นิ้วคูณ 10 นิ้ว มีสองแบบคือแบบใช้ปากกา(พิเศษ)เขียน
กับแบบที่ใช้เครื่องถ่ายเอกสาร แผ่นใสแบบใช้เครื่องถ่ายเอกสารใช้เขียนได้แต่แบบเขียนใช้กับเครื่องถ่ายเอกสารไม่ได้เพราะแผ่นใสจะละลายติดเครื่องถ่ายเอกสารทำให้เครื่องเสียเวลาซื้อแผ่นใสจึงต้องใช้ความระมัดระวังดูให้ดีว่าเป็นชนิดที่ตรงกับความต้องการหรือไม่
การฉายแผ่นใสสามารถทำได้ในห้องที่ไม่ต้องมืดมาก
3.รูปแบบการนำเสนอผลงาน
ในหัวข้อนี้ จะกล่าวถึงรูปแบบการนำเสนอผลงานดดยใช้คอมพิวเตอร์ รูปแบบที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมี 2 รูปแบบ คือ3.1การนำเสนอแบบ slide Presentation
3.1.1 โดยใช้โปรแกรม Power Point
เป็นโปรแกรมนำเสนอผลงานในชุด Microsoft Office เป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่ายมากีแม่แบบ (Template) ให้เลือกใช้หลายแบบ อคืประกอบหลักของแต่ละหน้าของการนำเสนอคือ หัวข้อ (Little) กับส่วนเนื้อหาหลัก (Body text) เนื้อหาหลักมักจะถูกนำเสนอในแบบของ Bull Point คือการใช้เครื่องหมายพิเศษนำหน้าข้อความที่สั้นกระทัดรัด แต่ได้ใจความมีการจัดลำดับความสำคัญของข้อความโดยการย่อหน้า
โปรแกรมนำเสนอผลงาน(Power Point)จัดลำดับความสำคัญของข้อความโดยการย่อหน้า
นอกจากข้อความแล้วอาจใช้ตาราง ผนภูมิ หรือรูปภาพประกอบ
และอาจมีการแต่งแต้มสีสันทั้งสีพื้น
สีของตัวอักษรและรุปแบบฟอร์มของตัวอักษรได้ด้วย
ภาพนำเสนอผลงานในรูปแบบ
Presentation (Power
Point)
การนำเสนอในรูปแบบ Presentation โดยใช้โปรแกรม Power
Point นี้สามารถทำให้มีลักษณะของการเชื่อมโยงคล้าย
ไฮเปอร์เทกซ์ (Hypertext) ของ Web page ได้ทั้งนี้
โดยใช้การเชื่อมโยงหลายมิติที่มีอยู่ในชุดโปรแกรมไมโครซอฟต์ออฟฟิศ
3.1.2 โดยใช้โปรแกรม Proshow Gold
โปรแกรม Proshow Gold คือ
โปรแกรมสำหรับเรียงลำดับภาพเพื่อนำเสนอแบบมีลติมีเดียที่มีความสามารถสร้างผลงานได้ในระดับมืออาชีพ
ด้วยเทนิพิเศษมากกมาย ใช้งานง่าย
เหมะสมต่อการนำเสนอสื่อการเรียนการสอนการแนะนำอัตชีวประวัติ
สามารถเขียนชิ้นงานของวีซีดีได้อย่างรวดเร็ว เป็นโปรแกรมที่ช่วยสร้างแผ่นวีซีดีจากรูปภาพต่างๆ
ที่ทำงานได้รวดเร็ว
โดยสามารถทำการใส่เสียงเพลงประกอบได้ด้วยและสามารถแปลงไฟล์เป็นไฟล์ต่างๆได้ เช่น VCD,DVD,หรือ EXE ฯลฯ ภาพที่ได้จัดอยู่ในคุณภาพดี
ซึ่งโปรแกรมอื่นจะใช้เวลาทำงานนานพอสมควร
3.1.3 โปรแกรม Flip Album
โปรแกรม Flip Album 6 Pro เป็นโปรแกรมลักษณะของโปรแกรมสำเร็จรูป โดยโปรแกรมชุด Flip album เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง E-Book ซึ่ง อีบุ๊ค (ebook,EBook,e-Book ) เป็นคำภาษาต่างประเทศ ย่อมาจากคำว่า electronic book หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และสามารถอ่านได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์เหมือนเปิดอ่านจากหนังสือ โดยตรงที่เป็นกระดาษแต่ไม่มีการเข้าเล่ม เหมือนหนังสือที่เป็นกระดาษ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีความสามารถมากมาคือ มรการเชื่อมโยง (Link)กับ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มอื่นๆได้เพราะอยู่บนเครือข่าย www และมีบราวเซอร์ที่ทำหน้าที่ดึงข้อมูลมาแสดงให้ตามที่เราต้องการเหมือนการเล่นอินเทอร์เน็ตทั่วไป เพียงแต่เป็นระบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สมารถแสดงข้อความ รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และ แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องกาออกทางเครื่องพิมพ์ได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสัมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป เราสามารถอานหนังสือ ค้นหาข้อมูลและสอบถามข้อมูลต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก ได้จากอินเทอร์เน็ต จากคอมพิวเตอร์เพียงครั้งเดียว หนังสืออิเล์กทรอนิกส์เป็นแฟ้มข้อมูล ประเภทข้อความ (Text Flip) ซึ่งต้องเป็นไปตามหลักของภาษา HTML ที่ใช้เขียนโปรแกรมผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ซอฟต์แวร์ที่ใช้กับหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันมี 2 ประเภทคือ
ซอฟต์แวร์สำหรับการเขียนข้อมูลให้ออกมาเป็น E-Book และ ซอฟต์แวร์สำหรับการอ่านมีอยู่หลายโปรแกรมแต่ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ได้แก่
1. โปรแกรมชุด Flip Album
2. โปรแกรม Desk Top Author
3. โปรแกรม Flip Flash Album
ชุดโปรแกรมทั้ง 3 จะต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับอ่าน e-Book ด้วย มิฉะนั้นแล้วจะเปิดเอกสารไม่ได้ประกอบด้วย
1.1 โปรแกรมชุด Flip Album ตัวอ่านคือ Filp Viewer
1.2 โปรแกรมชุด Desk Top Author ตัวอ่านคือ DNL Reader
1.3 โปรแรกมชุด Flip Flash Album ตัวอ่านคือ Flash Player
3.2 รูปแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) Computer Assisted Instruetion
CAI คือ โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วนสอน ที่มีหน้าที่เป็นสื่อการเรียนการสอนเหมือน
แผ่นใส (Transparent) สไลด์ (Slide) หรือวีดีทัศน์ (Video) ที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายในเวลาอันจำกัดสรุปได้ว่า CAI คือ
- เป็นสื่อการเรียนการสอน ช่วยู้สอนทำการสอน
- เนื้อหาในโปรแกรมจะเป็นหน่วยๆตามบทเรียนนั้นๆ
- ผู้เรียนสามารถนำไปทบทวนเนื้อหา ศึกษาด้วยตนเอง
- ผู้สอนหรือผู้มีประสบการณ์ในเนื้อหาวิชานั้นๆ จะทำได้ดีที่สุด
การจัดทำ CAI ที่ดีนั้นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
1. นักวิชาการ
2. นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
3. นักสร้างสรรค์
4. นักศิลปะ
ฉะนั้น CAI ก็คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้สนอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำหน้าที่แทนผู้สอนได้ทั้งหมด โดยที่ผู้สอนไม่ต้องทำอะไรเลย ผู้สอนยังจำเป็นที่ต้องคอยแนะนำและเตรียมเนื้อหา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ในเนื้อหานั้นๆ ในเวลาจำกัด จึงกล่าวได้ว่า "ผู้สอนจะเป็นผู้ที่ทำ CAI ได้ดีที่สุด"
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน Computer Assisted Instruction หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนที่อาศัยคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงาประยุกต์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้โดยจัดเนื้อหาสาระหรือประสบการณ์สำหรับให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ อาจจัดเป็นลักษณะบทเรียนหรือโปรแกรมการเรียน ฯลฯ
ประโยชน์องการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการเรียนรู้
1. ใช้เพื่อจัดการในชั้นเรียน (Classroom Management) เช่น
- เก็บข้อมูลสถิติรวมทั้งระเบียนสะสมของผู้เรียนเพื่อให้การช่วยเหลือเด็กเป็นรายบุคคล
- ใช้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
- เตรียมงานด้าการสอน เช่น ใบความรู้ ใบงาน ข้อทดสอบ ฯลฯ
- สร้างเครือข่ายฐานข้อมูลผู้เรียน เช่น แฟ้มสะสมงานผู้เรียน (Electronic portfolio) ฯลฯ
2. ใช้ในการจัดการเรียนการสอน (Instruction) เช่น
การนำเสนอผลงาน (Presentation)ของผู้สอน
- ในลักษณะสื่อประสม (Multimedia) เพื่อให้เกิดความตื่นเต้นเร้าความนใจ เช่น เสียงเพลง ภาพเคลื่อนไหวในวีดีโอ กราฟสถิติ รูปภาพ/ภาพถ่าย ฯลฯ
- ในลักษณะการจำลองสถาณการณ์การจำลองแบบ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย เช่น ผลกระทบในการลดลงของความหลากหลายทาง ชีวภาพ การเคลื่อนที่ของเปลือกโลก การระเบิดของภูเขาไฟ แนวโน้มการศึกษาต่อของผู้เรียน ฯลฯ
3.2.1 การใช้โปรแกรม Authorware
Authorware เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่นิยมนำมาสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมากที่สุดเพราะเนื่องจากว่าเข้าใจง่ายมีการเขียนโปรแกรมที่ใช้ง่าย
ทำความรู้จักกับส่วนต่างๆของโปรแกรม Authorware 4
โปรแกรม Authorware มีส่วนประกอบหลักๆอยู่ 5 ส่วนด้วยกันคือ
1. แถบชื่อ จะอยู่บนสุดถ้าเป็นของโปรแกรมจะมีชื่อว่า Authware แต่ถ้าเป็นโปรแกรมที่ท่านตั้งชื่อแล้ว จะปรากฏแถบ Title Bar นี้ด้วย
2. แถบเมนู อยู่รองลงมา จะมีเมนูอยู่บนแถบนี้ 10 เมนูแต่ละตัวจะมีเมนูย่อยเป็นแบบ Pull Down Menu
3. แถบไอคอน จะเป้นรูปไอคอนต่างๆ โดยเอาคำสั่งจากเมนุย่อยของแถบเมนูคำสั่งที่ใช้บ่อยๆมาทำเป็นไอคอนเพื่อความสะดวกในการเรียกใช้งาน
4. ไอคอนพาแลตต์ เป็นแถบไอคอนเครื่องมือ (Tools) เรียงตามแนวตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของจอ
5. หน้าต่างออกแบบ เป็นหน้าจอว่างๆมีเส้น FLOW LINE 1 เส้นเพื่อเตรียมให้ท่านออกแบบงาน ใช้เมาส์ลากขอบหน้าต่างนี้เข้าออก เป็นการย่อและขยายหน้าต่าง บนแถบหัวของหน้าต่างออกแบบ จะมีชื่อเป็น Untitle-1 ให้ก่อนจนกว่าจะบันทึก (Save) งาน แล้วตั้งชื่อใหม่บนแถบหัวนี้จะเป็นชื่อที่ตั้งไว้
3.2.2 การใช้ระบบจัดการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ Moodle
Moodle ย่อมาจาก Modular Object-Orientrd Dynamic Learning Environment คือระบบจัดการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ให้มีบรรยายกาศเหมือนเรียนในห้องเรียน หรือเรียกว่าLMS หรือระบบจัดคอร์สการเรียนการสอน ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต อินทราเน็ต สำหรับสถาบันการศึกษาหรือผู้สอน ใช้เพื่อเตรียมแหล่งข้อมูลกิจกรรมและเผยแพร่แบบอนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต หรืออินทราเน็ต สามารถนำไปใช้ได้ทั้งองค์กรระดับมหาวิทยาลัย โรงเรียน สถาบัน หรือผู้สอนสอนพิเศษ โปรแกรมชุดนี้เป็น Open Source ภายใต้ข้อตกลงของ gnu.org สามารถ Download ได้ฟรีจาก http://moodle.org ผู้พัฒนาโปรแกรมคือ Martin Dougiamas สถาบันการศึกษาใดต้องการนำไปใช้จัดระบบการเรียนการสอนจะต้องอาศัยผู้ดูแลระบบ ที่ความสามารถในการติดตั้ง โดยที่ต้องมี Web Server ที่บริการภาษา php และ mysql
3.3 รูปแบบ Social Network
Social Network หมายถึง สังคมออนไลน์ที่จะช่วยหาเพื่อนบนโลกอินเทอร์เน็ตได้ง่ายๆสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมาและได้ทำความรู้จักกับเพื่อนหรือคนอื่นๆและยังสามารถแนะนำตัวเองได้เช่น Hi5, Friendster, MySpace, FaceBook, Orkut, Bebo, Blgo, Tagged เ็นต้น
Social Network นั่นถือว่าแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูลและความสัมพันธ์บนโลกอินเตอร์เน็ต เป็นการที่ผู้คนสมารถทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่งหากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่าเป็น เว็บ Social Network ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่นเอง นั่นคือโลกที่สาม ยุคที่อะไรก็ไม่อาจจะหยุดยั้งไว้ได้
3.1.3 โปรแกรม Flip Album
โปรแกรม Flip Album 6 Pro เป็นโปรแกรมลักษณะของโปรแกรมสำเร็จรูป โดยโปรแกรมชุด Flip album เป็นโปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง E-Book ซึ่ง อีบุ๊ค (ebook,EBook,e-Book ) เป็นคำภาษาต่างประเทศ ย่อมาจากคำว่า electronic book หรือหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ และสามารถอ่านได้จากหน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งในระบบออฟไลน์และออนไลน์เหมือนเปิดอ่านจากหนังสือ โดยตรงที่เป็นกระดาษแต่ไม่มีการเข้าเล่ม เหมือนหนังสือที่เป็นกระดาษ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ มีความสามารถมากมาคือ มรการเชื่อมโยง (Link)กับ หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มอื่นๆได้เพราะอยู่บนเครือข่าย www และมีบราวเซอร์ที่ทำหน้าที่ดึงข้อมูลมาแสดงให้ตามที่เราต้องการเหมือนการเล่นอินเทอร์เน็ตทั่วไป เพียงแต่เป็นระบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์สมารถแสดงข้อความ รูปภาพ เสียง ภาพเคลื่อนไหว และ แบบทดสอบ และสามารถสั่งพิมพ์เอกสารที่ต้องกาออกทางเครื่องพิมพ์ได้ตลอดเวลา ซึ่งคุณสัมบัติเหล่านี้จะไม่มีในหนังสือธรรมดาทั่วไป เราสามารถอานหนังสือ ค้นหาข้อมูลและสอบถามข้อมูลต่างๆทั้งในประเทศและต่างประเทศทั่วโลก ได้จากอินเทอร์เน็ต จากคอมพิวเตอร์เพียงครั้งเดียว หนังสืออิเล์กทรอนิกส์เป็นแฟ้มข้อมูล ประเภทข้อความ (Text Flip) ซึ่งต้องเป็นไปตามหลักของภาษา HTML ที่ใช้เขียนโปรแกรมผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์
ซอฟต์แวร์ที่ใช้กับหนังสือ อิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันมี 2 ประเภทคือ
ซอฟต์แวร์สำหรับการเขียนข้อมูลให้ออกมาเป็น E-Book และ ซอฟต์แวร์สำหรับการอ่านมีอยู่หลายโปรแกรมแต่ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบัน ได้แก่
1. โปรแกรมชุด Flip Album
2. โปรแกรม Desk Top Author
3. โปรแกรม Flip Flash Album
ชุดโปรแกรมทั้ง 3 จะต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับอ่าน e-Book ด้วย มิฉะนั้นแล้วจะเปิดเอกสารไม่ได้ประกอบด้วย
1.1 โปรแกรมชุด Flip Album ตัวอ่านคือ Filp Viewer
1.2 โปรแกรมชุด Desk Top Author ตัวอ่านคือ DNL Reader
1.3 โปรแรกมชุด Flip Flash Album ตัวอ่านคือ Flash Player
3.2 รูปแบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) Computer Assisted Instruetion
CAI คือ โปรแกรมบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วนสอน ที่มีหน้าที่เป็นสื่อการเรียนการสอนเหมือน
แผ่นใส (Transparent) สไลด์ (Slide) หรือวีดีทัศน์ (Video) ที่ใช้ประกอบการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจง่ายในเวลาอันจำกัดสรุปได้ว่า CAI คือ
- เป็นสื่อการเรียนการสอน ช่วยู้สอนทำการสอน
- เนื้อหาในโปรแกรมจะเป็นหน่วยๆตามบทเรียนนั้นๆ
- ผู้เรียนสามารถนำไปทบทวนเนื้อหา ศึกษาด้วยตนเอง
- ผู้สอนหรือผู้มีประสบการณ์ในเนื้อหาวิชานั้นๆ จะทำได้ดีที่สุด
การจัดทำ CAI ที่ดีนั้นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญคือ
1. นักวิชาการ
2. นักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์
3. นักสร้างสรรค์
4. นักศิลปะ
ฉะนั้น CAI ก็คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้สนอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถทำหน้าที่แทนผู้สอนได้ทั้งหมด โดยที่ผู้สอนไม่ต้องทำอะไรเลย ผู้สอนยังจำเป็นที่ต้องคอยแนะนำและเตรียมเนื้อหา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ในเนื้อหานั้นๆ ในเวลาจำกัด จึงกล่าวได้ว่า "ผู้สอนจะเป็นผู้ที่ทำ CAI ได้ดีที่สุด"
คอมพิวเตอร์ช่วยสอน Computer Assisted Instruction หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นกระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนที่อาศัยคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระดับสูงาประยุกต์ใช้เป็นสื่อหรือเครื่องมือสำหรับการเรียนรู้โดยจัดเนื้อหาสาระหรือประสบการณ์สำหรับให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ อาจจัดเป็นลักษณะบทเรียนหรือโปรแกรมการเรียน ฯลฯ
ประโยชน์องการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดการเรียนรู้
1. ใช้เพื่อจัดการในชั้นเรียน (Classroom Management) เช่น
- เก็บข้อมูลสถิติรวมทั้งระเบียนสะสมของผู้เรียนเพื่อให้การช่วยเหลือเด็กเป็นรายบุคคล
- ใช้ศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
- เตรียมงานด้าการสอน เช่น ใบความรู้ ใบงาน ข้อทดสอบ ฯลฯ
- สร้างเครือข่ายฐานข้อมูลผู้เรียน เช่น แฟ้มสะสมงานผู้เรียน (Electronic portfolio) ฯลฯ
2. ใช้ในการจัดการเรียนการสอน (Instruction) เช่น
การนำเสนอผลงาน (Presentation)ของผู้สอน
- ในลักษณะสื่อประสม (Multimedia) เพื่อให้เกิดความตื่นเต้นเร้าความนใจ เช่น เสียงเพลง ภาพเคลื่อนไหวในวีดีโอ กราฟสถิติ รูปภาพ/ภาพถ่าย ฯลฯ
- ในลักษณะการจำลองสถาณการณ์การจำลองแบบ ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย เช่น ผลกระทบในการลดลงของความหลากหลายทาง ชีวภาพ การเคลื่อนที่ของเปลือกโลก การระเบิดของภูเขาไฟ แนวโน้มการศึกษาต่อของผู้เรียน ฯลฯ
3.2.1 การใช้โปรแกรม Authorware
Authorware เป็นโปรแกรมประยุกต์ที่นิยมนำมาสร้างบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนมากที่สุดเพราะเนื่องจากว่าเข้าใจง่ายมีการเขียนโปรแกรมที่ใช้ง่าย
ทำความรู้จักกับส่วนต่างๆของโปรแกรม Authorware 4
โปรแกรม Authorware มีส่วนประกอบหลักๆอยู่ 5 ส่วนด้วยกันคือ
1. แถบชื่อ จะอยู่บนสุดถ้าเป็นของโปรแกรมจะมีชื่อว่า Authware แต่ถ้าเป็นโปรแกรมที่ท่านตั้งชื่อแล้ว จะปรากฏแถบ Title Bar นี้ด้วย
2. แถบเมนู อยู่รองลงมา จะมีเมนูอยู่บนแถบนี้ 10 เมนูแต่ละตัวจะมีเมนูย่อยเป็นแบบ Pull Down Menu
3. แถบไอคอน จะเป้นรูปไอคอนต่างๆ โดยเอาคำสั่งจากเมนุย่อยของแถบเมนูคำสั่งที่ใช้บ่อยๆมาทำเป็นไอคอนเพื่อความสะดวกในการเรียกใช้งาน
4. ไอคอนพาแลตต์ เป็นแถบไอคอนเครื่องมือ (Tools) เรียงตามแนวตั้งอยู่ทางด้านซ้ายของจอ
5. หน้าต่างออกแบบ เป็นหน้าจอว่างๆมีเส้น FLOW LINE 1 เส้นเพื่อเตรียมให้ท่านออกแบบงาน ใช้เมาส์ลากขอบหน้าต่างนี้เข้าออก เป็นการย่อและขยายหน้าต่าง บนแถบหัวของหน้าต่างออกแบบ จะมีชื่อเป็น Untitle-1 ให้ก่อนจนกว่าจะบันทึก (Save) งาน แล้วตั้งชื่อใหม่บนแถบหัวนี้จะเป็นชื่อที่ตั้งไว้
3.2.2 การใช้ระบบจัดการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ Moodle
Moodle ย่อมาจาก Modular Object-Orientrd Dynamic Learning Environment คือระบบจัดการเรียนการสอนในระบบออนไลน์ให้มีบรรยายกาศเหมือนเรียนในห้องเรียน หรือเรียกว่าLMS หรือระบบจัดคอร์สการเรียนการสอน ผ่านระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต อินทราเน็ต สำหรับสถาบันการศึกษาหรือผู้สอน ใช้เพื่อเตรียมแหล่งข้อมูลกิจกรรมและเผยแพร่แบบอนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต หรืออินทราเน็ต สามารถนำไปใช้ได้ทั้งองค์กรระดับมหาวิทยาลัย โรงเรียน สถาบัน หรือผู้สอนสอนพิเศษ โปรแกรมชุดนี้เป็น Open Source ภายใต้ข้อตกลงของ gnu.org สามารถ Download ได้ฟรีจาก http://moodle.org ผู้พัฒนาโปรแกรมคือ Martin Dougiamas สถาบันการศึกษาใดต้องการนำไปใช้จัดระบบการเรียนการสอนจะต้องอาศัยผู้ดูแลระบบ ที่ความสามารถในการติดตั้ง โดยที่ต้องมี Web Server ที่บริการภาษา php และ mysql
3.3 รูปแบบ Social Network
Social Network หมายถึง สังคมออนไลน์ที่จะช่วยหาเพื่อนบนโลกอินเทอร์เน็ตได้ง่ายๆสามารถที่จะสร้างพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมาและได้ทำความรู้จักกับเพื่อนหรือคนอื่นๆและยังสามารถแนะนำตัวเองได้เช่น Hi5, Friendster, MySpace, FaceBook, Orkut, Bebo, Blgo, Tagged เ็นต้น
Social Network นั่นถือว่าแหล่งแลกเปลี่ยนข้อมูลและความสัมพันธ์บนโลกอินเตอร์เน็ต เป็นการที่ผู้คนสมารถทำความรู้จัก และเชื่อมโยงกันในทิศทางใดทิศทางหนึ่งหากเป็นเว็บไซต์ที่เรียกว่าเป็น เว็บ Social Network ก็คือเว็บไซต์ที่เชื่อมโยงผู้คนไว้ด้วยกันนั่นเอง นั่นคือโลกที่สาม ยุคที่อะไรก็ไม่อาจจะหยุดยั้งไว้ได้
แหล่ง Social Network ต่างๆ
การใช้ Social
Network เพื่อการเรียนการสอน
3.3.1 การใช้เว็บบล็อก (Weblog) เพื่อการเรียนการสอน
Blog มาจากคำว่า World Wide Web ซึ่งหมายถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่
เชื่อมโยงกันไปทั่วโลกกับคำว่า log แปลว่า บันทึก
รวมกันเป็น Weblog (เว็บบล็อก) นิยมเรียกสั้นๆว่า Blog ซึ่งเป็นเว็บไซต์พันธุ์ใหม่รูปแบบใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก
สามารถประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้กับงานแทบทุกวงการ
การสร้างสรรค์เว็บบล็อกทำได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องเรียนรู้การสร้างเว็บให้ยุ่งยาก
ไม่ต้องเขียนโค้ชหรอืคำสั่งใดๆ ก็สามารถสร้างบล็อกได้อยากน่าสนใจ
การที่บล็อกได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในโลกปัจจุบันในวงการเทคโนโลยีการสื่อสารจึงเปรียบเว็บเสมือนรถแข่งที่มีเครื่องยนต์พลังแรงสูงวิ่งฉวัดเฉวียนอยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต
ซอกซอนไปทุกเส้นทางสาขาอาชีพ
วัตถุประสงค์การใช้เว็บบล็อก (Weblog) เพื่อการเรียนการสอน การใช้เว็บบล็อกเพื่อการเรียนการสอนมีวตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน
2. เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมเนื้อหา
3. เพื่อเป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับบุคคลอื่น
4. เพื่อการติดตามการปฏิบัติงานของผู้เรียน
5. เพื่อเป็นสื่อในการเผยแพร่ผลงานของผู้เรียน
6. เพื่อเป็นสื่อเชื่อมโยงในการศึกษาค้นคว้ากับเว็บไซต์อื่นๆ
7. เพื่อความสนุกเพลิดเพลินของผู้เรียน
8. เพื่อฝึกทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ในการแสวงหาแหล่งเรียนรู้ต่างๆ
ขั้นตอนการสร้างเว็บบล็อก
ในการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติากรทุกๆการอบรม มีการใช้เว็บบล็อกเกอร์ (Blogger) ซึ่งเป็นบริษัท Google
ประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นเว็บบล็อกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด
การสร้างเว็บบล็อกท่านต้องมี e-mail
เป็นของตนเองเสียก่อน จากนั้นจึงใช้ e-mail สมัครเข้าไปสร้างเว็บบล็อกได้ e-mail ที่ควรใช้กับบล็อกเกอร์ควรเป็น G-mail ของ Google เช่นเดียวกัน
ส่วนประกอบของบล็อก
เว็บบล็อกของ Blogger
มีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่
1. ส่วนหัวบล็อก
2. ส่วนบทความ
3. ส่วนปรับแต่ง
ภาพตัวอย่าง Weblog : http://techno711.blogspot.com
3.3.2 การนำเสนอแบบ Web page เป็นรูปแบบที่การนำเสนอแบบเดียวกับที่ใช้บนอินเตอร์เน็ต
ปัจจุบันนิยมใช้ในรูปแบบนี้มากนำเสนอต่อที่ประชุม เว็บเบราเซอร์
เป็นโปรแกรมที่ใช้แสดงผล
ส่วนโปรแกรมที่ใช้สร้างเว็บเพจหรือแต่ละหน้านั้นมีวิธีทำได้หลายวิธีตั้งแต่วิธีดั้งเดิมที่สุดคือการเขียนด้วยภาษา
HTML หรือใช้โปรแกรมประเภท Software tool เช่น FrontPage, Dreamweaver เป็นต้น
ข้อดีของการนำเสนอแบบนี้คือสามารถสร้างความเชื่อมโยงที่สลับซับซ้อนระหว่างส่วนต่างๆของเอกสารที่นำเสนอ
ตลอดจนสามารถสร้างการเชื่อมโยงเอสารต่างๆรูปแบบกัน เช่น สามารถคลิกคำว่า วิธีคำนวณ
เพื่อเปิดตารางคำนวณ (Excel) ที่แสดงรายการคำนวณและเมื่อคลิกคำว่า คำอธิบาย จะไปเปิดเอกสาร Word เป็นต้น
3.3.3 Word Press คืออะไร
Word press คือโปรแกรมชนิดหนึ่งที่มีระบบในการช่วยจัดการเนื้อหาบนเว็บ
ได้อย่างง่ายหรือที่หลายๆคนใช้คำว่า Contents Management System (CMS) ซึ่งจริงๆแล้วโปรแกรมประเภท CMS มีมากมาย อย่างเช่น PHP Nuke, Joomla, Mambo, Oscommerce, Magento เป็นต้น
Wordpress เป็น CMS ประเภท Blog ซึ่งพัฒนาขึ้นโดยภาษา PHP และทำงานบนฐานข้อมูล MySQL ภายในสัญญาอนุญาตใช้งานแบบ General Public License (GNU) มีเว็บไซต์หลักอยู่ที่ http://www.wordpress.org และมี free hosting สำหรับขอรับบริการฟรีที่http://www.wordpress.com
Wordpress เป็นโปรแกรมที่ใช้งานง่าย สำหรับคนที่ต้องการมีบล็อกส่วนตัว
เป็นที่โปรแกรมที่นิยมกันทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย นอกจากการติดตั้งง่ายแล้ว Word press ยังมีข้อดีก็คือสามารถหาดาวน์โหลดธีม (Themes) หรือหน้าตาของเว็บ รูปแบบต่างๆที่เหมาะกับความต้องการ
รวมทั้งปลั๊กอิน (Plugins) เสริมอื่นๆ
ข้อแนะนำในการสร้างเว็บเพจ
1. เลือกกลุ่มเป้าหมาย ต้องระบุให้ชัดเจนว่าเป็นคนกลุ่มใด
ระดับความรู้เท่าใด ซึ่งจะมีความสัมพันธ์กับเนื้อหาของเว็บเพจ
2. เลือกเนื้อหาและปริมาณข้อมูล ควรเลือกนำเสนอเนื้อหาที่ดี
น่าสนใจและมีการปรับปรุงข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอ การใส่ข้อมูลปริมาณมากจนเกินไป
จะทำให้เว็บเพจดูหนาแน่น ไม่ดึงดูดความสนใจ
3. ออกแบบโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล การกำหนดโครงสร้างข้อมูลไว้เป็นหมวดหมู่จะทำให้ดูแลรักษาเว็บได้ง่าย เป็นระเบียบ สามารถตรวจสอบความผิดพลาดของเว็บเพจได้ง่าย
4. เว็บเพจจะต้องแสดงผลได้กับเว็บบราวเซอร์หลายชนิด เทคนิคต่าง ๆ ที่นำมาใช้ควรจะถูกรองรับโดยเว็บบราวเซอร์ รวมทั้งการเลือกใช้รูปแบบตัวอักษรภาษาไทย เนื่องจากบางเว็บบราวเซอร์ไม่สามารถแสดงผลภาษาไทยได้
5. ความเร็วในการโหลดเว็บเพจ ถ้าการโหลดเว็บเพจใช้เวลานาน จะทำให้ผู้ชมหมดความอดทนที่จะรอชม ปัจจัยที่มีผลต่อความเร็วในการโหลดเว็บเพจ ได้แก่ ขนาดและจำนวนของรูปภาพที่ใช้ เทคนิคใหม่ ๆ รวมถึงปริมาณของตัวอักษรที่อยู่ในหน้านั้น
6. ความง่ายในการค้นหาข้อมูล การย้อนกลับไปหน้าก่อนและหลัง หรือ การกลับไปจุดเริ่มต้นควรจะมีอยู่ทุกหน้า เพื่อให้การท่องเว็บสะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
7. การเลือกใช้ตัวอักษร ฉากหลัง และสี การเลือกใช้โทนสีจะต้องให้เข้ากับเนื้อหาสาระ ไม่ควรใช้
สีฉูดฉาดเป็นพื้นหลัง การเลือกใช้ลักษณะและขนาดของตัวอักษรก็เป็นสิ่งสำคัญ ขนาดตัวอักษรที่ใหญ่หรือเล็ก
จนเกินไป จะทำให้องค์ประกอบโดยรวมของเว็บนั้นเสียไป
8. ขนาดและชนิดของรูปภาพ รูปภาพที่นิยมใช้ในเว็บเพจมักมีส่วนขยายของแฟ้มเป็น gif และ jpeg เพราะมีขนาดเล็กและสามารถโหลดได้เร็ว
9. ส่วนประกอบเพิ่มเติม ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับผู้จัดทำ อีเมล์ วันเวลาที่ทำการแก้ไขเว็บเพจ รวมถึง
เว็บไซด์อื่น ๆ ที่น่าสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้
10. ตรวจสอบเว็บเพจก่อนนำเสนอ ควรตรวจสอบกับเว็บบราวเซอร์ชนิดต่าง ๆ และควรมีข้อความ
แจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่า เว็บเพจนี้เหมาะสมกับความละเอียดของภาพเท่าใด 640 x 480 pixels หรือ 800 x 600 pixels เป็นต้น
3. ออกแบบโครงสร้างของแฟ้มข้อมูล การกำหนดโครงสร้างข้อมูลไว้เป็นหมวดหมู่จะทำให้ดูแลรักษาเว็บได้ง่าย เป็นระเบียบ สามารถตรวจสอบความผิดพลาดของเว็บเพจได้ง่าย
4. เว็บเพจจะต้องแสดงผลได้กับเว็บบราวเซอร์หลายชนิด เทคนิคต่าง ๆ ที่นำมาใช้ควรจะถูกรองรับโดยเว็บบราวเซอร์ รวมทั้งการเลือกใช้รูปแบบตัวอักษรภาษาไทย เนื่องจากบางเว็บบราวเซอร์ไม่สามารถแสดงผลภาษาไทยได้
5. ความเร็วในการโหลดเว็บเพจ ถ้าการโหลดเว็บเพจใช้เวลานาน จะทำให้ผู้ชมหมดความอดทนที่จะรอชม ปัจจัยที่มีผลต่อความเร็วในการโหลดเว็บเพจ ได้แก่ ขนาดและจำนวนของรูปภาพที่ใช้ เทคนิคใหม่ ๆ รวมถึงปริมาณของตัวอักษรที่อยู่ในหน้านั้น
6. ความง่ายในการค้นหาข้อมูล การย้อนกลับไปหน้าก่อนและหลัง หรือ การกลับไปจุดเริ่มต้นควรจะมีอยู่ทุกหน้า เพื่อให้การท่องเว็บสะดวกและคล่องตัวมากยิ่งขึ้น
7. การเลือกใช้ตัวอักษร ฉากหลัง และสี การเลือกใช้โทนสีจะต้องให้เข้ากับเนื้อหาสาระ ไม่ควรใช้
สีฉูดฉาดเป็นพื้นหลัง การเลือกใช้ลักษณะและขนาดของตัวอักษรก็เป็นสิ่งสำคัญ ขนาดตัวอักษรที่ใหญ่หรือเล็ก
จนเกินไป จะทำให้องค์ประกอบโดยรวมของเว็บนั้นเสียไป
8. ขนาดและชนิดของรูปภาพ รูปภาพที่นิยมใช้ในเว็บเพจมักมีส่วนขยายของแฟ้มเป็น gif และ jpeg เพราะมีขนาดเล็กและสามารถโหลดได้เร็ว
9. ส่วนประกอบเพิ่มเติม ได้แก่ ข้อมูลเกี่ยวกับผู้จัดทำ อีเมล์ วันเวลาที่ทำการแก้ไขเว็บเพจ รวมถึง
เว็บไซด์อื่น ๆ ที่น่าสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้
10. ตรวจสอบเว็บเพจก่อนนำเสนอ ควรตรวจสอบกับเว็บบราวเซอร์ชนิดต่าง ๆ และควรมีข้อความ
แจ้งให้ผู้ใช้ทราบว่า เว็บเพจนี้เหมาะสมกับความละเอียดของภาพเท่าใด 640 x 480 pixels หรือ 800 x 600 pixels เป็นต้น
4. สรุปสาระสำคัญ
การนำเสนองานมีวัตถุประสงค์
เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจสาระสำคัญของการนำเสนอและให้ผู้ชมเกิดความประทับใจ
ซึ่งจะนำไปสู่ความเชือถือในผลงานที่นำเสนอ การใช้สื่อ
โสตทัศนศึกษาช่วยให้เกิดการรับรู้ช่วยให้เกิดการรับรู้ที่ดีขึ้น
รวมทั้งช่วยให้จดจำเนื้อหาได้มากขึ้น ทั้งนี้ หลักการขั้นพื้นฐานของการนำเสนอผลงานมีจุดเน้นสำคัญคือ
การดึงดูดความสนใจความชัดเจนและเสียงประกอบที่เหมาะสมด้วย
เครื่องมือที่ใช้ในการนำเสนอผลงานนั้น
แต่เดิมมักใช้เครื่องฉายสไลด์และเครื่องฉายแผ่นใสเป็นหลัก
แต่ในปัจจุบันนิยมใช้ครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่องฉายภาพแอลซีดี
รูปแบบการนำเสนอที่ยังนิยมใช้กันมากคทอ การนำเสนอแบบ Silde Presentation โดยใช้โปรแกรม PowerPoint
แต่มีแนวโน้มว่าการนำเสนอแบบ Web Page อาจเข้ามาแทนที่
ดีดี
ตอบลบขอบคุณครับ
ตอบลบ